10.24.2554

บทที่ 1


          “นายท่าน เร็ว ๆ สิฮะ”ภาพของเด็กน้อยกำลังวิ่งอย่างร่าเริงไปตามทางเดินเล็ก ๆ ในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง รอยยิ้มที่ถูกฉีกออกจนกว้างนั้น ทำให้ผู้ที่พบเห็นรู้ได้ทันทีเลยว่าตอนนี้เขามีความสุขมากเพียงใด
“นี่พอซ วิ่งเร็วไปแล้วนะ เดี๋ยวก็หกล้มหรอก”ชายหนุ่มที่เดินตามหลังมาตะโกนบอกเด็กน้อยที่วิ่งนำหน้าด้วยความเป็นห่วง
          “ก็ผมอยากเจอพี่นี่ฮะ ผมน่ะไม่ได้เจอพี่ตั้งมานานแล้ว”เด็กน้อยหันมาตอบด้วยท่าทางที่มีความสุข
          “นายท่านก็มาวิ่งด้วยกันซิฮะ จะได้ถึงเร็ว ๆ ผมน่ะอยากให้นายท่านได้เจอกับพี่”
          ชายหนุ่มไม่ได้กล่าวตอบอะไร ได้แต่ส่งยิ้มกลับอย่างอ่อนโยนพร้อมกับค่อย ๆ เดินตามหลังเด็กน้อยไป แต่ไม่นานภาพเหล่านั้นก็ค่อย ๆ บิดเบี้ยวและเลือนหายไป กลับกลายมาเป็นภาพของหญิงสาวในชุดกระโปรงสีขาวแบบเรียบ ๆ ดูคุ้นตาจากมุมไกล เธอกระโดดโลดเต้นไปมาใต้ต้นไม้ใหญ่ ก่อนที่จะหยุดและหันมองเหมือนได้รับรู้ถึงการมาของใครสักคน สายลมจากทิศใต้ถูกพัดปะทะเข้ากับใบหน้าและเส้นผมหยิกยาวอย่างเป็นธรรมชาติ มุมปากที่เรียวเล็กสีกุหลาบอ่อนค่อย ๆ ปรากฏรอยยิ้มออกมา เธอจัดเป็นผู้หญิงที่สวยมากคนหนึ่ง ด้วยเสน่ห์แฝงอยู่ในตัวของเธอ ทำให้ยากที่ใครจะถอดสายตาออกจากเธอได้ 
          แต่ไม่นานภาพของเธอก็ค่อย ๆ ไกลขึ้นเรื่อย ๆ ราวกับว่าภาพนั้นถูกดูดออกไป และกลับกลายเป็นภาพเพลิงสีแดงลุกท่วมอย่างโชติช่วงในพริบตา ตัวอาคารที่เคยเป็นสีขาวถูกย้อมด้วยสีแดงจากเปลวไฟ เสียงโหยหวนจากความทรมานของเหล่าผู้คนที่ถูกความร้อนจากไฟเผาทั้งเป็น
          “แพม!!!!”เจ้าของความฝันสะดุ้งตื่นขึ้นด้วยความตกใจ เสียงลมหายใจเข้าออกของเขาทั้งเหนื่อยและอ่อนล้า เสียงหัวใจของเขาเต้นไม่เป็นจังหวะ เหงื่อไหลท่วมตัวจนทำให้ผ้าปูที่นอนเปียกชุ่ม เขามักจะเป็นแบบนี้ประจำเมื่อฝันถึงเรื่องในอดีต เรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับตัวของเขาในช่วงสามปีก่อน “เช้าแล้ว...”เขาพูดขึ้นด้วยเสียงเหนื่อย ๆ และล้มตัวลงกับเตียงอีกครั้ง ในสมองของเขาตอนนี้กำลังครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ในความฝันภาพเหตุการณ์ต่าง ๆ ย้อนกลับเข้ามาในหัว ทำให้ดวงตานั้นเริ่มเจิ่งนองไปด้วยน้ำตา

          ตึก ๆ ตึก... เสียงฝีเท้าดังแว่วขึ้นมาจากตรอกทางเดินแคบ ๆ ที่ดูสกปรก เด็กหนุ่มวิ่งอย่างไม่คิดชีวิต เพื่อหนีจากสิ่งที่กำลังตามล่าเจ้าตัวอยู่ หัวใจที่สูบฉีดเลือดเร็วขึ้นทำให้ช่วงการหายใจช้าลง เหงื่อไคลที่ไหลออกมาตามซอกคอและแผ่นหลังเริ่มแผ่ไอร้อนออกมาจนทำให้เขาเริ่มรู้สึกอึดอัด สภาพร่างกายไม่อาจทนต่อไปได้อีกแล้ว เด็กหนุ่มมองซ้ายขวาเพื่อหาที่ซ่อน ก่อนจะไปสะดุดตากับตรอกมืด ๆ ตรอกหนึ่งตรงทางเลี้ยวข้างหน้า
          แฮ่ก ๆ แฮ่ก...เด็กหนุ่มหยุดฝีเท้าลงเพื่อพักเหนื่อยตรงมุมตรอกนั้น ตรอกที่ทั้งมืดและเฉอะแฉะพอที่จะเป็นจุดให้หลบได้สักพัก เขาลดเสียงหายใจให้เบาลงและพยายามเงี่ยหูฟังเสียงของผู้ล่าที่ไล่ตามมา เป็นเวลาอยู่หลายนาทีที่เด็กหนุ่มซ่อนตัวอยู่ในเงามืดเพื่อรอให้แน่ใจว่าข้างนอกนั้นไม่มีแม้แต่เสียงหนูสักตัวเดินผ่าน เขาจึงตัดสินใจออกไปและในขณะที่เขาย่างก้าวออกมาจากความมืด
มือขนาดใหญ่ที่ดักรอเขาอยู่ก็เข้ามาล็อคตัวเขาเอาไว้ 
          “หึ แกคิดว่าจะหนีพวกฉันพ้นหรอ”ชายคนหนึ่งในกลุ่มผู้ล่าเอ่ยขึ้นพร้อมกับชักมีดพกที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงขึ้นมาถือไว้
           “แกรู้มั้ย แกน่ะเหมือนกับของขวัญชิ้นโปรดที่พระเจ้าประทานมาให้พวกฉันเลยนะโว้ย”
           เด็กหนุ่มเริ่มคิดว่าเขาไม่น่าจะเดินเข้ามาในตรอกนี้แบบรู้เท่าไม่ถึงการณ์เลย เขาเองก็พึ่งจะอายุไม่เท่าไหร่กลับต้องมาจบชีวิตลงที่นี่ ยังมีอะไรอีกตั้งมากมายที่เขาอยากจะทำ และไหนจะคนสำคัญที่เขากำลังตามหาอีก น้ำตาของเด็กหนุ่มเริ่มคลอเบ้า ตอนนี้ตัวของเด็กหนุ่มเริ่มสั่นเทาด้วยความกลัว
“สั่นเชียวนะ แบบนี้ซิฉันจะได้สนุกกับการฆ่าแกมากขึ้น”ชายคนนั้นค่อย ๆ เดินเข้ามาหาเด็กหนุ่มอย่างช้า ๆ จนทำให้เด็กหนุ่มถึงกับตาเบิกโพลงเมื่อเห็นแววคมมีดที่สะท้อนกับแสงจากดวงอาทิตย์ที่ลอดผ่านเข้ามา
          ผู้ล่าค่อย ๆ เข้ามาหาเขา ด้วยความกลัวเด็กหนุ่มเริ่มดิ้นอย่างสุดแรง จนทำให้ชายร่างใหญ่ที่ทำหน้าที่ล็อคตัวเขาเอาไว้ จับเขาไว้ไม่อยู่ เมื่อเด็กหนุ่มหลุดมาจากวินาทีแห่งความเป็นความตายได้ เขาก็วิ่งหนีออกมาอย่างไม่คิดชีวิต ด้านผู้ล่าเองก็ไม่อยากจะพลาดโอกาสที่จะปล่อยให้เหยื่อที่นาน ๆ จะเจอทีหลุดมือไปได้ และที่สำคัญพวกเขาก็ไม่อยากจะเสี่ยงปล่อยให้เหยื่อไปปากโป้งบอกตำรวจอีกด้วย ผู้ล่าทั้งห้าชีวิตจึงตัดสินใจไล่ตามเหยื่อไปอย่างบ้าคลั่ง เหยื่อเองก็รู้ดีว่าถ้าเขาคิดจะหนีต่อไปแบบนี้เรื่อย ๆ สุดท้ายก็ไม่รอด ต่อให้เขาหลุดออกมาจากตรอกซอมซ่อนั้นแล้วก็ตาม เขาจึงตัดสินใจมาหยุดอยู่ที่หน้าคฤหาสน์ร้างที่สุดปลายถนน
          เด็กหนุ่มตัดสินใจปีนข้ามกำแพงสีขาวที่เต็มไปด้วยรากไม้เลื้อย เรี่ยวแรงอันน้อยนิดเพียงชั่วอึดใจเด็กหนุ่มก็สามารถข้ามไปอีกฟากของกำแพงนั้นได้ ส่วนด้านของผู้ล่าเองที่ตามมาติด ๆ ก็ปีนเข้าไปในคฤหาสน์อย่างไม่คิดหน้าคิดหลังเช่นกัน

          กุกกัก...กุกกัก ในยามบ่ายของคฤหาสน์ที่เงียบสงัดถูกแทรกขึ้นมาด้วยเสียงของผู้บุกรุกที่อยู่ชั้นล่างดังขึ้นไปยังด้านบนรวมไปถึงห้องตรงทางเดิน
          แม้จะเข้าสู่ช่วงเวลาบ่ายของวันแล้ว แต่ร่างของชายผู้เป็นเจ้าของคฤหาสน์ยังคงนอนนิ่งอยู่กับเตียงไม่ขยับลุกไปไหน จนเมื่อเสียงกุกกักที่อยู่ชั้นล่างแทรกเข้ามาในหูของเขา และทำให้เขารู้ได้ทันทีถึงการมาของแขกในบ่ายวันนี้ แม้ว่าแววตาของเขาจะยังดูเลื่อนลอยและว่างเปล่าอยู่ แต่รอยยิ้มของเขาค่อย ๆ ถูกแสยะออก เนื่องจากแขกที่มาในคฤหาสน์ครั้งนี้ดูจะต่างออกไปจากทุกที
          ร่างที่นอนนิ่งอยู่ในตอนแรกเริ่มขยับตัวลุกขึ้นจากเตียงเดินออกไปจากห้อง
          เขาเดินไปตามทางเดินในคฤหาสน์ที่ถูกปูด้วยพรมแดงสีเลือดนกยาวไปถึงบันไดด้านล่าง บริเวณทั้งสองด้านของผนังมีรูปภาพเขียนต่าง ๆ ตั้งแต่รูปของวิวทิวทัศน์ไปจนถึงภาพของบุคคลต่าง ๆ ที่เคยอาศัยอยู่ในคฤหาสน์แห่งนี้ ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ชายและหญิง รูปเหล่านั้นถูกกรีดด้วยของมีคมจนขาดรุ่งริ่งและโดยเฉพาะกับรูปขนาดใหญ่กรอบทองโบราณของสุภาพสตรีรูปหนึ่ง ที่ไม่ใช่แค่ถูกกรีดให้ขาด แต่กลับถูกกรีดจนดูแทบไม่ออกว่าเป็นใคร เมื่อเดินไปจนสุดทางเดินจะเห็นชุดเกราะของอัศวินถูกนำมาจัดวางเอาไว้ขนาบกับทางเดิน ในมือของชุดเกราะอัศวินแต่ละตัวนั้น มีทั้งดาบ ขวาน ลูกตุ้มหนามและอื่น ๆ อีกมากมาย
          เสียงฝีเท้าได้เงียบลงเมื่อเขาไปหยุดอยู่ตรงหน้าของชุดเกราะอัศวินตัวหนึ่ง เขายืนนิ่งมองอาวุธในมือของอัศวินอย่างครุ่นคิด ก่อนที่จะเริ่มขยับตัวเมื่อได้คำตอบจากสิ่งที่เขากำลังครุ่นคิดอยู่ มือของเขาค่อย ๆ เอื้อมไปหยิบขวานเงินที่ถูกสอดอยู่ในมือของอัศวินออกมา

          “นี่พวกแก แยกย้ายกันหา ไอ้เด็กนั้นหนีไปไหนไม่พ้นหรอก”เมื่อหัวหน้าสั่งบรรดาลูกน้องก็เริ่มจัดการแยกย้ายกันออกค้นหาเหยื่อ
          ผู้ล่าคนหนึ่งเลือกที่จะแยกออกจากกลุ่มขึ้นมาด้านบนเพียงคนเดียว ด้วยเหตุผลที่ว่าเวลาแบบนี้ตัวเองคงจะได้อะไรติดไม้ติดมือกลับไปบ้างไม่มากก็น้อย 
          เขาเริ่มเดินไปตามทางเดินที่ถูกปูด้วยพรม สีหน้าของเขาค่อย ๆ เบิกบานขึ้นเมื่อเขาจินตนาการว่าจะเป็นอย่างไรถ้าเขาได้เป็นเจ้าของที่นี่ เขาจะได้นอนเกลือกกลิ้งอยู่บนกองสมบัติ ทรัพย์สินบางชิ้นของที่นี่ถ้านำมันไปขายสักชิ้นสองชิ้นก็คงจะเป็นค่าซ่อมแซมคฤหาสน์นี้ได้ทั้งหลัง ตอนนี้เขาที่กำลังอยู่ในภวังค์จนแทบจะไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตัวเองนั้นกำลังเผชิญหน้าอยู่กับอะไร
          เป็นเวลาพักหนึ่งกว่าชายหนุ่มที่กำลังเพ้อฝันนั้นจะตื่นจากภวังค์ และเขาเองก็เพิ่งจะรู้ตัวว่าตรงหน้าของเขานั้นมีใครบางคนกำลังยืนขวางอยู่ 
ชายคนหนึ่งที่ดูเหมือนจะยืนจ้องมองเขาอยู่เป็นเวลานานและเขาเองก็ถึงกับสะดุ้ง เมื่อเห็นขวานเงินที่อยู่ในมือของชายคนนั้น ตาของเขาได้สบเข้ากับแววตาที่เลื่อนลอยและว่างเปล่าคู่นั้น ก่อนที่รอยยิ้มจะถูกแสยะออก ดวงตาที่ค่อย ๆ เบิกกว้าง
          ทีละน้อย
          ทีละน้อย
          ยามที่เขาเริ่มก้าวเดิน
          ตึก ๆ  ตึก ๆ 
          เสียงหัวใจของแขกผู้มาเยือนเริ่มเปลี่ยนจังหวะการเต้น หน้าตาที่เคยเบิกบานของเขากลับเปลี่ยนเป็นซีดเผือกตามการเต้นของหัวใจ ทุกอย่างรอบตัวของเขาเริ่มเคลื่อนไหวช้าลง มีเพียงแต่ชายตรงหน้าเท่านั้นที่เคลื่อนไหวเร็วขึ้น ไม่นานระยะห่างก็เหลือเพียงน้อยนิด
           ฉึก!!!! 
          และเสี้ยววินาทีนั้นคมขวานก็ถูกง้างขึ้นและจามเข้าที่บ่าของเขาถากไปถึงต้นคอ
          อ๊ากกกกกก!!!!
          เขาร้องขึ้นด้วยความเจ็บปวดและทรมาน เลือดของเขาไหลทะลักออกมา ขาที่ไร้เรี่ยวแรงค่อย ๆ ทรุดลงกับพื้น ลมหายใจของเขารวนรินพร้อมกับเหงื่อไหลพรากเต็มตัวผสมปนเปไปกับเลือดสด ๆ ที่อาบอยู่บนเสื้อของเขา ประสาทการรับรู้ต่าง ๆ เริ่มทื่อไปหมด ภาพสุดท้ายก่อนที่ความมืดจะเข้ามาครอบงำคือภาพดวงตาที่เบิกกว้างของผู้ที่มอบความทรมานนี้ให้กับเขา
          ดวงตาที่เบิกกว้างจ้องมองร่างที่ใกล้จะสิ้นลมในไม่ช้า รอยยิ้มบนใบหน้าที่มีตั้งแต่แรกถูกฉีกให้กว้างขึ้น ตัวของเขาเริ่มสั่นอย่างเห็นได้ชัด แต่ตัวเขาไม่ได้สั่นเพราะรู้สึกความกลัว แต่มันเป็นความรู้สึกตื่นเต้นที่ได้ทำมันและอยากจะทำอีก การที่ได้เห็นเลือดของเหยื่อมันทำให้เขาเกิดแรงกระตุ้น สภาพของเขาในตอนนี้มันไม่ได้ต่างอะไรกับปีศาจที่กระหายเลือด
          “คิก คิก คิก คิก”มือที่สั่นไม่หยุดของเขาเริ่มเอื้อมไปหยิบขวานเงินที่ถูกฝังติดร่างท่วมเลือดนั้น
           ฉึก!!!! 
          เขาจัดการกระชากมันออกมาอย่างแรง ทำให้ลมหายอันรวนรินนั้นดับลง
          “คิก คิก คิก คิก ฮะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า!!!!”เสียงหัวเราะของเขาดังก้องไปทั่วทางเดินชั้นสอง  เสียงหัวเราะที่กั้นเอาไว้ถูกระเบิดออกมาอย่างบ้าคลั่ง ท่าทางของเขาในตอนนี้ราวกับคนเสียสติและดูน่าขยะแขยง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น